Algorithmic Stablecoin อนาคตที่สดใส (หรือรุ่งริ่ง) ของ Decentralize Finance
ด้วยการที่ Stablecoin มี trends ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมากในปีที่ผ่านมา ทั้งการที่ USDT มี Growth rate ที่มากกว่า BTC และการที่มีการใช้งาน Stablecoin ในการป้องกัน Inflation ของ fiat currency, นั่นทำให้มี Stablecoin อื่นๆเกิดขึ้นมาเพิ่มเช่นกัน โดยวันนี้เราจะมาวิเคราห์กันถึง รูปแบบของ Algo-stablecoin ที่เปลี่ยนไปจาก Asset-backed stablecoin และการทำงานของมัน รวมถึง ทำไม มันถึงไปไม่รอดในบางครั้ง รวมถึงเหตุผลที่ Algo-Stables ควรจะพัฒนาต่อไปจากปัจจุบัน
What is Algorithmic Stablecoin
อะไรคือ Algorithmic Stablecoin — พูดง่ายๆ คือ Stablecoin ที่จะถูกควบคุมราคาด้วย Algorithm และ Smart contract function ล้วนๆ ถ้าให้อธิบายเพิ่มเติม คือ
Algorithmic Stablecoin — หรือ Seignorage supply หรือ Non-Collateralized Stablecoin เป็น Stablecoin ที่จะถูกควบคุมราคาด้วย Oracle ใน Smart contract, หลักการทำงานของมันคล้ายกับ Share-bond หรือตราสารในระดับองค์กร ซึ่งมี Algorithm ในการ Stabilize ราคา Token ผ่านการ Expansion และ Contraction, โดยที่มีองค์ประกอบของ Liquidity pool เพิ่มเข้ามา
Algo-Stablecoin Provider ที่กำลังมาแรงก็จะมี (ใน BSC)
The “Algorithm” Thing
ในที่นี้ขอยกตัวอย่าง Algo-stablecoin provider ชื่อดังอย่าง bDollar ซึ่ง bDollar จะถูก pegged ไว้ที่ 1$ ซึ่งมี 1 Epoch เท่ากับ 6 ชั่วโมง คือ Protocol ของ bDollar จะทำการ stabilize ทุกๆ 6 ชั่วโมง
ซึ่งการทำงานของ Expansion/Contraction จะเป็นการเพิ่ม/ลด Supply ของ Token โดยที่ Non Dillutive — แปลว่า Token Holder จะมี % Supply เท่าเดิมเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง
Expansion
เมื่อราคาของ BDO เพิ่มขึ้นเกิน Equilibrium threshold (5% ของ 1$) เรียกว่าการ Expansion
สมมติว่าราคาของ BDO คือ 2$ หมายความว่า Oracle จะ Expand supply ของ BDO ให้มากขึ้นเพื่อรองรับกับราคาที่เพิ่มมากขึ้นโดยมี Expansion cap ตาม Total BDO Supply ซึ่ง Oracle จะคำนวณ Seinorage จากราคาเฉลี่ยของ 2 Liquidity Pool (BDO/BNB, BDO/BUSD) ผ่าน TWAP (Time Weight Average Price) ซึ่งป้องกันการ Dump/Pump นาทีสุดท้ายก่อน Epoch end
หลังจากได้ Seinorage ออกมาแล้ว Token ที่ mint ออกมาใหม่ ส่วนหนึ่งจะไปเป็น DAO Fund — หรือ Public Treasury ซึ่งเมื่อเกิด Expansion, Token จะถูก swap เป็น BNB และ BUSD เก็บไว้ใน Treasury เพื่อ Buyback เมื่อเกิด Contraction ต่อไป
อีกส่วนจะถูกส่งไปที่ Boardroom ซึ่งจะถูกแจกจ่ายให้กับ bDollar Share Holder เพื่อที่จะให้คนเอาไป Swap กลับเป็น BNB/BUSD เพื่อลดราคาของ Token ให้กลับไปเป็น 1$ และมอบ Incentive เพิ่มเติมแก่ผู้ถือ share
และส่วนสุดท้ายจะถูกเก็บไว้ให้ Redeem Bond เมื่อเวลามีคนที่ถือ Bond อยู่ และราคาของ Token เกิน Pegged price, 1$ ซึ่งจะอธิบายในส่วนถัดไป
Contraction
เมื่อราคาของ BDO ลดลงเกิน Equilibrium threshold (5% ของ 1$) เรียกว่าการ Contraction
สมมติว่าราคาของ BDO คือ 0.8$ หมายความว่า Oracle จะ Contract Supply ของ BDO — ลด Supply ของ BDO ลงเพื่อรองรับกับราคาที่ลดลง
หลักการลด Supply คือการเปลี่ยน BDO เป็น Bonds ซึ่งไม่ว่าราคา TWAP ของ BDO เป็นเท่าไหร่ 1 BDO จะแลกได้ 1 BDO Bond เสมอ เพื่อเป็น Incentive ให้กับผู้ที่แลก Bond ซึ่ง Bond สามารถเอาไปแลกกลับเป็น BDO ได้เมื่อราคาของ BDO เกิน 1$ ส่วน BDO ที่แลกเป็น Bond ก็จะถูก Burn ทิ้งไป
ซึ่ง Bond จะแตกต่างกับการ Long BDO ปกติตรงที่ Bond Holder จะได้ Bonus Redemption Rate เพิ่มขึ้นจากปกติ เช่น
เมื่อ $BDO = 1.15, redeem 1 bBDO จะได้ 1.15 $BDO (ราคา bBDO = 1.32)
หลังจาก Oracle คำนวณ Seinorage แล้ว Token ที่ mint ออกมาใหม่ ส่วนหนึ่งจะถูกแบ่งออกเป็น DAO Fund ซึ่งจะใช้ BNB/BUSD ที่ถูกเก็บไว้เมื่อตอน Expansion นำมา Buyback BDO เพื่อให้ราคากลับไปใกล้เคียง 1$ และเก็บ Token ที่เหลือเอาไว้เพื่อนำไปขายตอน Expansion ต่อไป
Liquidity Pool is also the key
นอกจากการ Stabilize ผ่าน Expansion/Contraction แล้ว นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Bank อีกด้วย — Bank ในที่นี้หมายถึง Liquidity Pool
จากที่รู้ว่า Oracle จะใช้ราคา BDO/BNB และ BDO/BUSD ในการคำนวณ Seinorage ดังนั้นก็จะต้องมีการให้ความสำคัญแก่ Liquidity Pool นี้เช่นกัน
ซึ่งในแต่ละ Protocol ก็จะมีวิธีการ Stabilize ราคา LP ที่แตกต่างกัน แต่หลักสำคัญคือการที่ต้อง Balance ราคาของ BDO และ BDO Share ให้เป็นสัดส่วนเช่นเดียวกับใน Process ของ Expansion/Contraction
ในส่วนนี้ก็จะมีทั้งการ Mint sBDO (BDO Share) และ BDO ซึ่งไม่ผ่าน Epoch (ได้เป็น Token/Block) ซึ่งมี Max Cap ที่ Mint ได้ ซึ่งทำให้ราคาคงที่เสมอ ไม่ต้องรอจบ Epoch
Is Algorithmic Stablecoin Better?
คำถามนี้ตอบได้ยาก เพราะแต่ละอย่างมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป
ถ้ามองในมุมของความซับซ้อน, Algo-stablecoin มีความซับซ้อนมากกว่า Asset-backed stablecoin อยู่มากโข เป็นการยากที่มือใหม่จะเข้ามาร่วมลงทุน
แต่ถ้ามองในมุมของ ความ “Decentralized” และ Autonomous แล้ว Algo-stablecoin ถือว่าตอบโจทย์ทุกอย่างในส่วนนี้
“Game Theory” Applied Here
ถ้ามองจากมุมของ Game Theory เราสามารถแบ่งประเภทของการกระทำได้เป็น 4 ประเภทในแต่ละ Epoch Cycle
Contraction
- Full Cooperation — การร่วมมือกันย่อมเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้ราคา Token กลับมาเป็น 1$ และทำให้ Supply ลดลง ทุกคนจะได้ Incentive จากการแลก Bonds ที่มากขึ้น 😆
- Majority Cooperates, Minority Defects — การ Contraction มีอันตรายที่แฝงอยู่ค่อนข้างมาก หากมีคนที่ Defects มากพอ ย่อมทำให้ราคาของ Token ไม่กลับมาเป็น 1$ ถึงราคาจะไม่ตกลงไปมากกว่านี้ ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในตัว Token มากขึ้น และทำให้เกิด Defects มากขึ้นในที่สุด แต่ถ้าจำนวน Defects ไม่มากพอ คนที่ Defects จะเสีย loss จากการ Early Sell แต่ก็สามารถทำกำไรจาก Epoch Cycle ได้ 😂
- Full Defection — หากทุกคน Defects ระบบ Epoch จะพังแบบสมบูรณ์ แต่ก็สามารถเกิด Recovery จาก Pump และ Bank ในระยะยาวได้หาก Dev กระตือรือร้นที่จะหา Burn Solution และไม่ Incompetent
- Majority Defects, Minority Cooperates — คำนิยามของ“ลุกช้าจ่ายรอบวง” เช่นเดียวกับกรณี Full Defection, จะสามารถเกิดการ Recovery ได้ แต่ว่าคนที่ Cooperates จะเสียโอกาสมากที่สุด และจะไม่เหลืออะไรเลย
Expansion
- Full Cooperation — จะเกิดขึ้นเมื่อทุกคน“ไม่ขาย” Ex. ทุกคน Compound, ราคา Token จะไม่กลับไปที่ Pegged Price, APR จะเพิ่มสูงขึ้นจากการที่เกิด Expansion มากขึ้น กรณีนี้ดีหากเกิดขึ้นในระยะสั้น แต่จะเกิดเป็น Instability ในระยะยาว ราคาของ Token จะไม่สะท้อนถึงราคาจริง และจะเกิดการ Dump ในที่สุดเมื่อไม่สามารถ Maintain Liquidity Pool Ratio ได้ในราคาหนึ่ง และคนไม่เพิ่ม Liquidity ใน Pool เนื่องจากราคาที่มากเกินไป ทำให้สุดท้ายเกิดการ Breakdown ทั้งราคา Token และราคา Share
- Majority Cooperates, Minority Defects — หากเกิดมวลการ Defect ขึ้นแต่ปริมาณไม่มาก ทำให้ราคาไม่พุ่งสูงจนเกินไป เกิดเป็นการ Stabilize อยู่ที่ค่าใดค่าหนึ่งแทน ขึ้นอยู่กับจำนวน Defects, เช่น 1.2$,1.3$ คนใน Boardroom ยังสามารถทำกำไรจาก Expansion ที่สูง และคนที่ Stake ใน LP Pools ยังสามารถทำกำไรจากราคา Token ที่ไม่มากเกินไปได้ ในกรณีนี้ราคา Share จะพุ่งขึ้นสูง
- Full Defection — แน่นอนหากทุกคน Defects ราคาก็จะกลับไป Sub-one เช่นเดิมในเวลาที่รวดเร็ว จะเกิดขึ้นแน่นอน ขึ้นอยู่กับเวลา (ยังไงก็ต้องมีทั้ง Expansion และ Contraction) และภาพรวมของ Token ต่อไปจะขึ้นอยู่กับตอน Contraction แทน
- Majority Defects, Minority Cooperates — เช่นเดียวกับข้อ 2. แต่จะเกิด Contraction เร็วขึ้น และราคา Share จะไม่สูงเท่า
จะเห็นได้ว่า Best Scenario ในที่นี้จะเป็นเมื่อ Contraction, ทุกคน Cooperates และเมื่อ Expansion, Majority Cooperates และ Minority Defects
แต่ในชีวิตจริงแล้ว คนเราทั้งไม่มีเหตุผลในการกระทำและควบคุมไม่ได้ การเพิ่มขึ้นและลดลงของราคา Token ล้วนเกิดขึ้นจาก Demand/Supply จริงของคน หากคนไม่เชื่อมั่นในตัว Token, อะไรก็ไม่สามารถฉุดมันขึ้นมาได้
ระบบนี้ไม่ได้ต้องการผู้เล่นหน้าใหม่เยอะๆเหมือนกับ Yield farming, แต่ต้องการ Cooperation ระหว่าง Token Holders มากกว่า But who knows?
Why (Some) Algo-Stables Doesn’t Work
จากการที่เราดูตัวอย่างระบบของ Algo-stablecoin สามารถมีจุดยืนในโลก Defi กันไปแล้ว อยากให้ทุกคนรำลึกไว้ว่า มันก็มี Token ที่ไปไม่รอดเช่นเดียวกัน จึงเลยขอสรุปสาเหตุที่สำคัญไว้คร่าวๆ
- ระบบ Seigniorage พึ่งพาความเชื่อมั่น — ความร่วมมือกันของคนมากเกินไป. Algo-stables ต้องความความไว้ใจ,ความเชื่อมั่น,และความร่วมมือกันของคนทุกคนบน Protocols — การที่จะหาความไว้ในในชีวิตจริงว่ายากแล้ว บนโลก Defi ย่อมยากกว่านับ 100 เท่า ทุกคนสามารถปิดตัวตนได้ ทุกคนมาเพื่อหาผลกำไรให้ตัวเองเหมือนกัน ระบบดังกล่าวที่เล่นกับความเชื่อใจความไว้ใจในตัวคนย่อมมีสิทธิที่จะพังลงทุกเมื่อ
- การทำงาน Algo-Stablecoins ยากเกินไปที่จะเข้าใจสำหรับคนทั่วไป รวมถึงยากเกินไปที่จะอ่าน Smart Contract สำหรับ Solidity Newbies — Algo-Stablecoins ไม่ใช่แค่ระบบการเงิน Fintech ง่ายๆ แต่เป็นระบบที่ต้องใช้ความรู้ทางด้าน Financial Engineering และ Advance Mathematic Models รวมถึงการทำงานเบื้องลึกของ Price Oracle ทำให้นักลงทุนที่ไม่มีความรู้ด้าน Financial และ Crypto มากพออาจตกเป็นเหยื่อการ Pump and Dump จาก APR ที่ดูสูง รวมถึง Smart Contract ที่ซับซ้อนกว่า Yield Farming หรือ AMM ต่างๆ ทำให้เกิดความเข้าใจการทำงานได้ยาก และที่สำคัญอาจมี Malicious code เหลืออยู่หากไม่ผ่าน Audit หรือ Proofread จากคนที่มีความรู้ใน Smart Contract มากพอ
- การมี Epoch และ Timelock (a.k.a Deposit/Withdrawal delay) ทำให้ราคาไม่ Fluid — ระบบ Seigniorage ควรจะเป็นระบบที่ Fluid ซึ่งไม่ควรทำให้เกิด Price Spike มากเกินไป เมื่อไหร่ที่นักลงทุนได้ผลตอบแทนจาก DAO ก็ควรจะเกิด Process ของ Stabilization ขึ้นเลย — ไม่ควรเอาเงินของนักลงทุนที่ไม่อยากอยู่มากองไว้ ก็จะไม่เกิด Big Dump และทำให้ไม่เกิด Panic Sell และถ้าหาก Fluid มากพอก็ไม่จำเป็นต้องมี Epoch
- ระบบ Bond เล่นกับความไว้ใจมากเกินไปและจัดว่าเป็น Weak Force ในการดันราคา Token ขึ้น — Developer ควรจะพัฒนาระบบที่ใช้เป็น Strong Force เมื่อเกิด Contraction, การใช้ Bond อย่างเดียวมีความเสี่ยงที่จะไม่เกิดการ Cooperation ระหว่างผู้ลงทุนทำให้ระบบอาจพังในที่สุด
- Developer ไม่ฟังเสียง Community — สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการ Gain Trust, หากไม่ฟังเสียงคนใช้ ก็ไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จได้
Conclusion
สุดท้ายนี้ Algo-stables มีจุดสำคัญอยู่อย่างหนึ่ง คือ “มันไม่ขึ้นกับ Economic Principles” จากการที่ราคาของสิ่งของใดต้องขึ้นกับ Demand/Supply ของคนซื้อคนขาย แต่กลับเปลี่ยนตาม Stabilization Algorithm แทน
ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อมีคนไม่ต้องการที่จะร่วมมือกับคนหมู่มากเมื่อเกิด Contraction Epoch, จะไม่มีปัญหาหากทุกคนทำสิ่งที่ถูกต้อง — นั่นคือการซื้อ Bonds, แต่ถ้าเมื่อไหร่มีบางคนคิดจะแตกแยก เมื่อนั้นจะเกิดหายนะกับทั้งระบบ
That’s all for now. Remember to ape in responsibly and your funds will be SAFU, stay safe my fellow degens.
Feedback is always appreciated.